Showing 1–12 of 54 results

อาหารเสริมกิฟฟารีน

อาหารสุขภาพช่วยดำรงส่งเสริมสุขภาพ สามารถรับประทานได้ในคนปกติ รวมทั้งผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด อาหารเสริมกิฟฟารีน มีงานวิจัยถึงคุณประโยชน์อย่างชัดเจน และสามารถนำไปบริโภคได้ตามที่แนะนำไว้ในคู่มือนี้

-20%
Original price was: 470 ฿.Current price is: 376 ฿.
-20%
Original price was: 400 ฿.Current price is: 320 ฿.
-20%
Original price was: 430 ฿.Current price is: 344 ฿.
-20%
Original price was: 750 ฿.Current price is: 600 ฿.
-20%
Original price was: 1,000 ฿.Current price is: 800 ฿.
-20%
Original price was: 550 ฿.Current price is: 440 ฿.
-20%
Original price was: 290 ฿.Current price is: 232 ฿.
-20%

สินค้าใหม่กิฟฟารีน

กิฟฟารีน แซลมอน คอลลาเจน พลัส+

Original price was: 600 ฿.Current price is: 480 ฿.
-20%
Original price was: 420 ฿.Current price is: 336 ฿.
-20%
464 ฿1,744 ฿

อาหารเสริมกิฟฟารีน อาหารสุขภาพอย่างง่ายๆ

1. อาหารสุขภาพ อาหารเสริม หรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Food Supplement, Dietary Supplement) ในที่นี้ขอให้ถือว่ามีความหมายเดียวกัน คือ เป็นอาหารที่มีประโยชน์ บางชนิดก็มีสารอาหารสำคัญที่เราหวังผลได้ทางด้านสุขภาพ ส่วนสมุนไพรที่มาจากพืชนั้น บางชนิดเป็นยา และบางชนิดก็เป็นได้ทั้งอาหารสุขภาพและยาด้วยทั้งสองอย่าง
 
2. หลักการและเหตุผลที่แนะนำอาหารสุขภาพ เป็นเพราะมีงานวิจัยทั้งทางตรงและทางอ้อมจากสารสำคัญในอาหารสุขภาพนั้น ในการส่งเสริมสุขภาพมีประโยชน์สำหรับคนปกติบ้าง มีประโยชน์สำหรับผู้ป่วยบางโรคบ้าง แต่ไม่ใช่ยาที่จะนำไปรักษาโรคให้หายขาดได้
 
3. อาการป่วยที่ไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรแน่ เช่น ปวด เจ็บ ตามที่ต่างๆ มีไข้ มีก้อนในที่ต่างๆ ไอ เพลีย ท้องเสีย ปวดท้อง หรืออื่นๆ ที่ยังไม่ได้ตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ ต้องพบแพทย์ก่อนเสมอ และควรทราบอย่างชัดเจนว่าเป็นโรคอะไร ถ้ายังไม่ได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ ไม่ควรรับประทานอาหารสุขภาพ เพราะอาจเสียเวลาในการวินิจฉัยและรักษาทำให้โรคดำเนินลุกลามไปมาก อาจมีอันตรายมากถ้ามัวแต่ไปรอผลของอาหารสุขภาพ จึงควรตรวจรักษาด้วยแพทย์ก่อนเสมอ
 
4. ในกรณีที่เป็นโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยที่จะรับประทานอาหารสุขภาพควรเป็นผู้ที่มีความแข็งแรงพอควร สามารถทำงานได้ มีอาการของโรคคงที่แล้ว
 
5. ในกรณีที่มีอาการหนัก รับประทานยาหลายชนิด หรือเพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนักได้ไม่นาน หรืออาการยังไม่คงที่ หรือเพิ่งกลับจากโรงพยาบาล หรืออยู่ในโรงพยาบาล ไม่แนะนำอาหารสุขภาพเพราะถ้าโรคอาการทรุดลงหรือแทรกซ้อน จะเป็นการยากสำหรับแพทย์ผู้รักษาที่จะแยกว่าเป็นผลจากโรคเอง หรือเป็นผลข้างเคียงจากอาหารสุขภาพ
 
6. อาหารสุขภาพที่มีในคู่มือนี้มีงานวิจัยถึงคุณประโยชน์ และสามารถแนะนำได้ทั้งในคนปกติ และผู้ป่วยในบางโรค เพราะอาจช่วยเสริมการรักษาหรือลดอุบัติการณ์โรคแทรกซ้อนที่มักจะตามมาในบางโรค เช่น ต้อกระจกในผู้ป่วยเบาหวาน เป็นต้น
 
7. ผู้ที่จะรับประทานอาหารสุขภาพ ควรศึกษาข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง ข้อห้ามใช้ก่อนการรับประทาน ในกรณีที่มีโรคหลายชนิด หรือรับประทานยาหลายชนิดมาก ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
 
8. ควรแนะนำอาหารสุขภาพแก่ผู้อื่น เสมือนว่า แนะนำให้แก่ตัวเราเอง หรือ คุณพ่อคุณแม่ ลูก หรือคนที่เรารัก เป็นผู้รับประทาน โดยมีความรู้ความเข้าใจ ในประโยชน์ ความคุ้มค่า ข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง และข้อห้ามรอบด้าน โปรดระลึกไว้เสมอว่า การให้ความรู้ที่ถูกต้อง มีคุณค่าที่สุด และความดีงามสำคัญกว่าทุกสิ่ง

ข้อห้าม และข้อควรระวัง สำหรับบางโรค

สตรีตั้งครรภ์

ไม่ควรรับประทานอาหารสุขภาพทุกชนิด ในทุกระยะเวลาของการตั้งครรภ์ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด เมื่อคลอดแล้วจึงสามารถจะแนะนำให้รับประทานอาหารสุขภาพได้ แต่ถ้าให้นมบุตรไม่ควรรับประทานสมุนไพร ในช่วงให้นมบุตร สามารถแนะนำ วิตามิน โปรตีน แคลเซียม น้ำผลไม้ น้ำมันปลา และขิง เป็นต้น

ผู้ป่วยในโรงพยาบาล

ไม่ให้ทานอาหารสุขภาพทุกชนิด เพราะอาจจะรบกวนการทำงานของแพทย์ รบกวนยา หรือคนไข้อาจจะมีภาวะที่ตับ ไต ไม่แข็งแรง เป็นต้น

เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี

ไม่ให้ทานอาหารสุขภาพทุกชนิด เพราะเมื่อไม่สบาย จะมีอันตรายสูง ต้องตรวจรักษาโดยแพทย์ นอกจากนี้ เด็กที่เล็กเกินไปอาจจะยังเคี้ยวหรือกลืนยาได้ไม่ดี ก็อาจจะติดคอ เป็นอันตราย

นิ่วในไต

ระวังในการรับประทาน แคลเซียม เพราะในบางรายอาจเพิ่มการขับแคลเซียมในปัสสาวะ เกิดการตกตะกอนทำให้นิ่วโตเร็วขึ้นในผู้ที่เป็นนิ่วแล้ว ควรได้รับการตรวจแคลเซียมในปัสสาวะและควรปรึกษาแพทย์ก่อน

นิ่วในถุงน้ำดี

ห้าม ขมิ้น อาร์ทิโชก และว่านชักมดลูก เพราะทั้งสามตัว เพิ่มการหลั่งน้ำดี อาจจะทำให้นิ่วโตขึ้นเร็ว แต่เมื่อได้รับการผ่าตัดถุงน้ำดีไปแล้ว สามารถรับประทานได้เหมือนคนปกติ

โรคลมชัก โรคจิต โรคซึมเศร้า

ไม่ควรรับประทานอาหารสุขภาพทุกชนิด เว้นแต่จะปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจจะรบกวนระดับยารักษาโรค และอาจจะมีอันตรายได้


โรคออทิสติก ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลรักษาก่อนรับประทานอาหารเสริมทุกชนิด เพราะแต่ละรายจะได้รับยาที่ต่างกัน เช่น อาจจะมียากันชัก ยารักษาทางจิตเวชอื่นๆ เป็นต้น

เบาหวาน

ห้ามลดน้ำหนักด้วยสูตรอาหารสุขภาพทั้งหมด และห้ามงดหรือลดปริมาณอาหารในบางมื้อ เว้นแต่จะปรึกษาแพทย์ที่รักษาเบาหวานก่อน เพราะจะทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำเกินไปเสมอ จนเป็นอันตราย เนื่องจากผู้ป่วยจะได้รับยาลดน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นยารักษาโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาหวานถ้าต้องการจะลดน้ำหนักจึงควรปรึกษาแพทย์ที่รักษาในการปรับยาเบาหวาน และอยู่ในความดูแลของแพทย์เสมอ

โรคหัวใจ อัมพาต เลือดข้น เลือดหนืด เส้นเลือดตีบ เส้นเลือดอุดตัน (ผู้ป่วยมักจะได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เกล็ดเลือด หรือยาละลายลิ่มเลือด)

ถ้าจะรับประทาน แปะก๊วย โสม กระเทียม น้ำมันปลา เห็ดหลินจือ ว่านชักมดลูก เจียวกู่หลาน น้ำมันพริมโรส โคเอนไซม์คิวเทน สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ขิง โกโก้ ชาเขียว อีจีซีจี น้ำมันมะกอก เรสเวอราทอล ไลโคพีน ขมิ้นชัน ถั่งเช่า ฟ้าทะลายโจร ควรปรึกษาแพทย์ก่อน ในผู้ที่มีประวัติเส้นเลือดแตกในสมอง เลือดออกในทางเดินอาหาร หรือผู้ที่เกล็ดเลือดต่ำ เลือดออกง่าย หรือรับประทานยาต้นการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ยาละลายลิ่มเลือด เพราะอาหารสุขภาพเหล่านี้มีผลต่อการแข็งตัวของเกล็ดเลือด อาจจะส่งเสริมยา ทำให้เลือดออกได้ง่าย หยุดได้ยาก

โรคจีซิกพีดี (G6PD)

ห้าม มะรุม และถั่วปากอ้า เพราะจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตก ปัสสาวะมีสีดำ และเป็นอันตรายต่อไตได้ ผู้ที่เป็นโรคนี้ ปกติจะไม่อันตราย เว้นแต่ไปทานมะรุม ถั่วปากอ้า และยาที่ต้องห้าม ซึ่งมีหลายชนิด จึงต้องบอกแพทย์เวลาไม่สบายเสมอว่าเป็นโรคนี้ แพทย์จะได้ไม่สั่งยาที่ต้องห้าม

โรคตับแข็ง และโรคตับทุกชนิด (ที่มีเอนไซม์ของการทำงานของตับสูง คือ ค่า SGOT SGPT มากกว่า 40 IU แสดงว่า ตับกำลังอักเสบ)

ห้ามสมุนไพร เช่น โสม เห็ดหลินจือ ใบบัวบก แปะก๊วย ฟ้าทะลายโจร กวาวเครือ ว่านชักมดลูก ทับทิมเม็ด มะรุม เจียวกู่หลาน รวมทั้งสารสกัดจากชาเขียว อีจีซีจี เพราะเป็นสมุนไพร อาจจะมีสารสำคัญที่มีความเป็นยาอยู่มาก อาจจะทำให้ตับต้องทำงานหนัก เว้นแต่สมุนไพรที่รับประทานได้สองชนิด คือ ถั่งเช่า และ อาร์ทิโชก เพราะจะช่วยรักษาตับอักเสบ แต่ควรปรึกษาแพทย์เป็นรายๆ ไป

วัณโรค ที่กำลังได้รับยา

มะเร็ง ที่กำลังได้รับเคมีบำบัด

ผู้ป่วยที่กำลังได้รับยาวัณโรค หรือกำลังได้รับการรักษามะเร็งด้วยยาคีโม หรือเคมีบำบัด หรือฉายแสง ควรงดการให้สมุนไพรทุกชนิด เพราะระยะที่กำลังได้รับการรักษาเหล่านี้ ตับจะทำงานหนัก จึงควรงดสมุนไพรไว้ก่อน ควรให้สมุนไพรต่อเมื่อหลังการให้คีโม หรือฉายแสง หรือหยุดให้ยาวัณโรคแล้ว 1-2 อาทิตย์ และถ้าจะมีการรักษาเช่นนี้อีก ก็ควรงดสมุนไพรในช่วงรักษานี้อีกเช่นกัน

โรคไต

โรคไตระยะสุดท้าย หรือได้รับการล้างไตฟอกเลือด หรือมีอาการบวม ควรหลีกเลี่ยง ผลไม้ น้ำผลไม้ น้ำเกลือแร่ น้ำด่าง น้ำแมกนีเซียม หรือปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสมอ เพราะอาจจะมีโพแทสเซียมสูงในเลือด และมีอันตรายได้

เนื้องอก ซีสต์ที่มดลูก รังไข่ เต้านม

ควรระวังหรือหลีกเลี่ยง การรับประทานสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นเอสโตรเจน เช่น ว่านชักมดลูก กวาวเครือขาว ตังกุย เพราะอาจจะส่งเสริมโรคให้มากขึ้นได้ ถ้าจะรับประทานให้ปรึกษาแพทย์ก่อน สำหรับถั่งเช่า ให้พิจารณาเป็นรายๆ ไป

ผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ

ห้ามสมุนไพรทั้งหมด เพราะอาจจะรบกวนยาที่ใช้รักษาภูมิต้านทาน และอาจจะมีผลเสียต่อโรค